Vårdnadstvist คดีแย่งลูก / ข้อพิพาทเรื่องอำนาจปกครองบุตร

Vårdnadstvist คนไทยในสวีเดนมักเรียกว่าคดีแย่งลูก

คำแปลที่ล่ามที่จบหลักสูตรล่ามใช้ คือ ข้อพิพาทเรื่องอำนาจปกครองบุตร

สิ่งที่คนไทยในสวีเดนควรทราบ คือ

โดยพื้นฐานกฎหมายสวีเดนมองว่า อำนาจปกครองบุตรร่วมกัน (gemensam vårdnad) คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก

แต่ก็มีเหตุผลที่ศาลจะตัดสินให้มีอำนาจปกครองบุตรฝ่ายเดียว (ensam vårdnad) ถ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่า

  • ผู้ปกครองอีกฝ่ายไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร (vårdnadshavare) เช่น
    • ทำร้ายร่างกายบุตร หรือทำร้ายร่างกายผู้ปกครองอีกฝ่าย
    • ติดสิ่งเสพติดอย่างร้ายแรง
  • ผู้ปกครองทั้งสองไม่สามารถร่วมมือกันได้ (samarbetssvårigheter) เกี่ยวกับบุตร

ซึ่งเกณฑ์ในการวินิจฉัย จะเข้มงวดมาก

ศาลจะคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก (barnets bästa) เป็นหลัก

:::

ครูขอแบ่งปันประสบการณ์ของตนเองเพื่อเป็นวิทยาทาน

ตอนครูเป็นเด็ก พ่อแม่ครูแยกทางกัน แต่พ่อแม่เป็นมิตรกัน

ไม่เคยพูดสิ่งไม่ดีของอีกคนให้ลูกฟังเลย

เอ่ยถึงกันแต่เรื่องดี ๆ

ซึ่งครูถือว่าเป็นของขวัญที่ดีที่สุด ที่พ่อกับแม่มอบให้ลูก ๆ

เมื่อครูมีครอบครัวเอง และมีเหตุให้ต้องหย่าร้าง

ครูตั้งใจจะเดินตามรอยของพ่อแม่

แต่ก็มีเหตุให้ทำไม่สำเร็จ

และมีความขัดแย้งกันเยอะมาก

แต่ครูก็ยังยืนยันที่จะไม่นำเรื่องขึ้นถึงศาล

เพราะครูเชื่อว่า กระบวนการศาล มันใช้พลัง และความรู้สึกเยอะมาก

และมันส่งผลกระทบต่อทุกคนที่เกี่ยวข้อง

พี่ชายครูสอนครูว่า "การจะเป็นพ่อแม่ที่ดีได้ เราต้องมีความสุข (ถ้าเราทุกข์ เราทำหน้าที่ให้ดีไม่ได้)"

ครูเชื่อในคำสอนของพี่ชาย

:::

แต่ท้ายที่สุด ก็ถึงจุดที่ครูประเมินว่า การนำเรื่องขึ้นศาล คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก

ครูคิดว่าการนำเรื่องขึ้นศาล คือ การปกป้องลูก และเพื่อประโยชน์สูงสุดของลูก

:::

กระบวนการศาลใช้เวลาเบ็ดเสร็จ ๑ ปี

ครูขอมีอำนาจปกครองบุตรแต่เพียงฝ่ายเดียว

พ่อของเด็กขอให้คงอำนาจปกครองบุตรร่วมกันไว้

ศาลตัดสินให้คงอำนาจปกครองบุตรร่วมกัน

:::

แพ้คดีแล้วเสียใจไหม?

ครูไม่ได้มองว่า เป็นการแพ้คดี

ครูมองว่า เมื่อมีปัญหา แล้วพยายามแก้ทุกทางแล้วมันไม่ดี ขึ้น เราก็ต้องแก้ไข

เมื่อลงมือแก้ไขแล้ว ก็ต้องวางใจ และยอมรับผล และไปต่อ

อย่างน้อย ๆ ก็เป็นตัวอย่างให้ลูกได้เรียนรู้ว่า

"หน้าที่เป็นเรื่องภายนอก การปล่อยวางเป็นเรื่องภายใน

มีปัญหา เราต้องแก้ไข แก้ได้ ไม่ได้ เราต้องปล่อยวาง"

ซึ่งสิ่งนี้ จะเป็นวัคซีนชีวิตให้ลูกเรา มากกว่าการที่เราพยายามตามไปปกป้องลูกในทุก ๆ สถานการณ์

(ซึ่งเราทำไม่ได้)

สิ่งหนึ่งที่ครูบอกลูกคือ

"ทุกคนที่ไปศาล ไปด้วยความรักและความหวังดีต่อลูก

ศาลก็ตัดสินตามสิ่งที่ศาลเชื่อว่าดีที่สุดสำหรับลูก

และตอนนี้บรรทัดฐานของสังคม (norm) คือ อำนาจปกครองบุตรร่วมกัน เป็นสิ่งที่ดีที่สุด

เราอยู่ในสังคมไหน เราก็ต้องยอมรับบรรทัดฐานของสังคมนั้น"

:::

แม้ครูจะเคยขึ้นศาลคดีอำนาจปกครองบุตร

แต่ครูก็ยังเชื่อมั่น และศรัทธาว่า สิ่งที่ดีที่สุด สำหรับเด็ก คือ พ่อแม่ตกลงกันได้

:::

ทนายของครู อยากให้ครูอุทธรณ์ เพราะทนายเชื่อมั่นว่า เมื่อไปถึงศาลอุทธรณ์ต้องชนะแน่ ๆ มันชัดเจนมาก

(ศาลชั้นต้น มีผู้พิพากษาที่จบกฎหมาย ๑ ท่าน และผู้พิพากษาสมทบ ซึ่งเป็นคนธรรมดา ไม่ได้จบกฎหมาย ๓ ท่าน

ศาลอุทธรณ์ มีผู้พิพากษาที่จบกฎหมาย ๓ ท่าน และผู้พิพากษาสมทบ ๑ ท่าน

ดังนั้น หลายคดี ผลการตัดสินที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์จะต่างกัน)

แต่ครูก็ให้เหตุผลทนายไปว่า ครูทำหน้าที่ของครูครบถ้วนแล้ว

และได้ให้วัคซีนชีวิตกับลูกแล้ว

และในขณะเดียวกัน ครูก็ได้เรียนรู้ว่า

"เราไม่สามารถตามไปปกป้องลูกได้ในทุก ๆ สถานการณ์

สิ่งที่เราทำได้คือ สอนทักษะที่จำเป็น ให้เขาอยู่ได้โดยไม่มีเรา"

ทักษะที่จำเป็นอย่างหนึ่ง ที่ลูกได้เรียนรู้ คือ

"เมื่อมีปัญหา ให้แก้ไข และให้วางใจกับผล ... แล้วไปต่อ (อย่าจมกับมันนาน)"


สำหรับคนที่กำลังเครียด สิ่งเหล่านี้ ช่วยได้เยอะ

  • การนั่งสมาธิ ภาวนา ช่วยให้ปล่อยวาง และจิตใจสงบมากขึ้น เป็นที่พึ่งให้ลูกได้ง่ายขึ้น และเห็นความดีของผู้ปกครองอีกฝ่ายได้ง่ายขึ้น
  • การออกกำลังกาย ช่วยผ่อนคลายความเครียด และหลั่งสารความสุข
  • การมีมิตรที่ดี ที่ให้กำลังใจ และแนะนำสิ่งที่เป็นกุศล สำคัญมาก


ด้วยความปราถนาดี

มะกรูด